ปัจจุบันทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 เป็นทางหลวงสายหลักที่ใช้สัญจรและเชื่อมต่อกรุงเทพมหานครไปยังภาคตะวันออกและมีทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 ที่เปรียบเสมือนถนนวงแหวนล้อมรอบปริมณฑล ที่จะรับรถ–กระจายไปยังจังหวัดอื่นๆ ซึ่งทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 สามารถเดินทางเชื่อมต่อกันได้ ทำให้ปัจจุบันการเดินทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองทั้ง 2 เส้นทางมีปริมาณจราจรเป็นจำนวนมาก รวมถึงพื้นที่สองข้างทางมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โครงข่ายถนนที่อยู่ในบริเวณทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองมีปริมาณการสัญจรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร เพื่อเป็นการพัฒนาโครงข่ายถนนและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทาง การขนส่งระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองกับทางหลวงข้างเคียง จึงเห็นควรพัฒนาการเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ของกรมทางหลวงกับบริเวณโดยรอบถนนสายร่วมพัฒนา-ทล.34 ของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาที่ดินบริเวณรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในแนวเหนือ–ใต้ เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งทางอากาศ รวมถึงเพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และลดความแออัดการจราจรบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่ศูนย์ขนส่งกระจายสินค้าในบริเวณเขตลาดกระบังและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ทางได้มากขึ้น รวมทั้งสอดรับกับยุทธศาสตร์โลจิสติกส์เพื่อส่งเสริมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการศึกษาออกแบบวิเคราะห์แผนการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และหมายเลข 9 พร้อมทั้งวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการดังกล่าว
กรมทางหลวง โดย สำนักสำรวจและออกแบบ จึงได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท โชติจินดา คอนซัลแตนท์ จํากัด บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท ดาวฤกษ์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด ให้ดำเนินโครงการงานศึกษา ออกแบบ วิเคราะห์ แผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และหมายเลข 9 เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาโครงการ ให้สามารถรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงกับโครงข่ายการคมนาคมในภูมิภาค เพื่อความสะดวก คล่องตัวในการเดินทาง ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ให้เฟื่องฟู
นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงได้กำหนดให้มีการดำเนินงานการมีส่วนร่วมของประชาชน ควบคู่ไปกับการศึกษาด้านอื่นๆ พร้อมทั้ง เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ตลอดระยะเวลาการศึกษา เพื่อให้การพัฒนาโครงการมีความเหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนมากที่สุด โดยขณะอยู่ระหว่างช่วงเริ่มต้นของการศึกษา จึงได้จัดให้มีการประชุมปฐมนิเทศโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 1) ในครั้งนี้ขึ้น เพื่อนำเสนอข้อมูลรายละเอียดโครงการ วัตถุประสงค์ ขอบเขตขั้นตอนการศึกษา แนวคิดการพัฒนาโครงการและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการพัฒนาโครงการ พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่โครงการ